วันเสาร์ที่ 28 เมษายน พ.ศ. 2555
วันพุธที่ 25 เมษายน พ.ศ. 2555
เครื่องบินนาโน
ท่อนาโนคาร์บอน..วัตถุสีดำดูดกลืนแสงยอดเยี่ยม จากหลักการดังกล่าว ทีมวิจัยจากมหาวิทยาลัยมิชิแกนจึงพัฒนาสารเคลือบวัตถุที่ต้องการอำพรางจากท่อนาโนคาร์บอนซึ่งมีสีดำสนิทและมีสมบัติดูดกลืนแสงได้อย่างดีเยี่ยม L. Jay Guo ศาสตราจารย์ภาควิชาวิศวกรรมไฟฟ้าและวิทยาศาสตร์คอมพิวเตอร์ มหาวิทยาลัยมิชิแกน กล่าวว่า “ด้วยความสามารถของท่อนาโนคาร์บอนที่ดูดกลืนแสงที่เข้ามาปะทะได้ถึง 99.99 เปอร์เซ็นต์นี่เองที่จะทำให้คุณเลือกใช้มันเพื่อซ่อนวัตถุสามมิติได้อย่างสมบูรณ์” ทดสอบแนวความคิด Guo และทีมพัฒนาสารเคลือบสำหรับยานหรือเครื่องบินทหารซึ่งทำจากท่อนาโนคาร์บอนที่มีความหนาเพียง 70 ไมครอนหรือประมาณครึ่งหนึ่งของความหนากระดาษ โดยทีมคาดหวังว่าสารเคลือบนี้จะดูดกลืนคลื่นเรดาร์และช่วยให้เครื่องบินที่เคลือบด้วยสารเคลือบนี้รอดพ้นจากการตรวจจับด้วยสัญญาณเรดาร์จากฝ่ายตรงข้ามได้ Guo กล่าวว่า กลุ่มของท่อนาโนคาร์บอนสามารถดูดกลืนแสงในช่วงคลื่นที่กว้างมากตั้งแต่คลื่นวิทยุ แสงที่มองเห็นได้ (Visible light) จนกระทั่งแสงยูวี
ในการทดลอง พวกเขาทดสอบแนวความคิดดังกล่าวด้วยการนำแผ่นซิลิคอนสองแผ่นมากัดเซาะให้เป็นรูปรถถังขนาดจิ๋วและมีลักษณะนูน (ภาพ a) ต่อมานำชิ้นงานทั้งสองแผ่นมาเคลือบด้วยท่อนาโนคาร์บอน (ภาพ b) และเลือกแผ่นใดแผ่นหนึ่งมากัดเซาะให้เป็นกรอบสี่เหลี่ยมรอบรถถังหลังจากเคลือบท่อนาโนคาร์บอนไปแล้วเพื่อใช้เป็นชิ้นงานเปรียบเทียบ (ภาพ c) จากนั้นนำชิ้นงานทั้งสองไปส่องดูด้วยกล้องจุลทรรศน์ จากภาพจะสังเกตเห็นว่ารถถังบนชิ้นงานทั้งสองหายไป (ภาพ e และ f) เหลือให้เห็นเพียงส่วนที่ไม่มีท่อนาโนคาร์บอนเคลือบอยู่ซึ่งก็คือกรอบรอบรถถังบนชิ้นงานเปรียบเทียบนั่นเอง (ภาพ f) ผลการทดลองจึงสรุปได้ว่า สารเคลือบท่อนาโนคาร์บอนสามารถดูดกลืนแสงที่สะท้อนออกมาจากวัตถุได้ดีจนทำให้เรามองไม่เห็นวัตถุได้แม้แต่วัตถุที่มีรูปทรงเป็นสามมิติ สารเคลือบชนิดใหม่ดูดกลืนแสงทั้งหมดได้อย่างไร Guo ให้เหตุผลว่า การที่ท่อนาโนคาร์บอนสามารถดูดกลืนแสงทั้งหมดได้นั้น พวกเขาจำเป็นต้องใช้ท่อนาโนคาร์บอนในปริมาณที่สูงรวมทั้งต้องสังเคราะห์ ปลูก จัดเรียงและเว้นระยะห่างให้ถูกต้อง (คล้ายกับการปลูกป่าด้วยท่อนาโนคาร์บอน) เพื่อที่จะทำให้ค่าดัชนีหักเหแสง (Refractive index, RI) ของสารเคลือบดังกล่าวมีค่าใกล้เคียงกับค่าดัชนีหักเหแสงของอากาศ นั่นหมายความว่า แสงที่เดินทางผ่านอากาศเข้ามาปะทะกับมันจะถูกดูดกลืนไปทั้งหมด ไม่เหลือแสงที่จะสะท้อนมาตกกระทบกับตัวรับภาพในดวงตาของเรา เราจึงมองเห็นวัตถุเป็นเพียงพื้นเรียบๆสีดำ ซึ่งเมื่อเราวางวัตถุทาบกับพื้นหลังสีดำวัตถุดังกล่าวก็จะล่องหนไปในที่สุดนั่นเอง ดังนั้นหากเรานำสารเคลือบนี้มาพ่น เคลือบ หรือทำสีให้กับเครื่องบิน ฝ่ายตรงข้ามก็จะมองไม่เห็นเครื่องบินดังกล่าวในเวลากลางคืน ทั้งยังไม่สามารถตรวจจับด้วยสัญญาณเรดาร์ได้อีกด้วย บทสรุป สารเคลือบที่ทำจากท่อนาโนคาร์บอนนี้เป็นได้มากกว่าผ้าคลุมสีดำที่ใช้ซ่อนวัตถุหรือซ่อนเครื่องบินจากท้องฟ้าเวลากลางคืน เพราะมันยังมีสมบัติในการดูดกลืนคลื่นเรดาร์ไม่ให้เครื่องบินถูกตรวจจับได้ซึ่งเหมาะที่จะนำไปใช้กับเทคโนโลยีอากาศยานล่องหน (Stealth) อีกด้วย แต่อย่างไรก็ตาม ขั้นตอนการสังเคราะห์ท่อนาโนคาร์บอนบนพื้นผิวของเครื่องบินโดยตรงยังไม่สามารถทำได้จริงในขณะนี้ เพราะขั้นตอนนี้ต้องใช้อุณหภูมิและความดันที่สูง รวมทั้งต้องทำในห้องที่มีขนาดเล็กกว่าเครื่องบินมาก แต่ Guo เชื่อว่า ยังมีความเป็นไปได้ที่เราจะสังเคราะห์ท่อนาโนคาร์บอนบนพื้นผิวของอนุภาคขนาดจิ๋วซึ่งสามารถนำไปใช้เป็นสารแขวนลอยที่ผสมอยู่ในสีที่ใช้เคลือบพื้นผิวของเครื่องบินแทนได้ งานวิจัยนี้ตีพิมพ์ในจดหมายฟิสิกส์ประยุกต์ (Applied Physics Letter) ข้อมูลน่ารู้ ระบบเรดาร์ทำงานอย่างไร
ระบบเรดาร์ทำงานโดยอาศัยคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าที่ส่งออกไป ถ้าคลื่นดังกล่าวปะทะกับวัตถุหรือของแข็งคล้ายเครื่องบินที่เดินทางใกล้เข้ามา คลื่นก็จะสะท้อนจากเป้าหมายกลับมายังเครื่องรับสัญญาณเพื่อสร้างรหัสประจำตัวของวัตถุที่พบและประมวลผลจากคลื่นที่สะท้อนกลับมาโดยแสดงข้อมูลทั้งขนาด ระยะทาง และความเร็วของวัตถุไปยังหน้าจอภาพ เมื่อฝ่ายที่ปล่อยสัญญาณเรดาร์ได้รับข้อมูลของวัตถุเป้าหมายแล้ว พวกเขาก็จะทำลายเครื่องบินเป้าหมายกลางอากาศด้วยการขีปนาวุธ (anti-aircraft missile) ในทันที อย่างไรก็ตาม ในปัจจุบันมีการนำเทคโนโลยีอากาศยานล่องหน (Stealth) มาช่วยออกแบบเครื่องบินจู่โจมหรือเครื่องบินขับไล่ทางทหารเพื่อให้สามารถหลบหลีกระบบเรดาร์ได้ ยกตัวอย่างเช่น ออกแบบลำตัวของเครื่องบินไม่ให้มีlแนวตั้งฉาก (Perpendicular section) ที่จะทำให้คลื่นเรดาร์สามารถสะท้อนกลับไปยังตัวรับสัญญาณ หรือ ออกแบบให้เครื่องบินมีสีเข้มโดยทาหรือเคลือบสีผิวของเครื่องบินให้เป็นสีดำหรือสีน้ำเงินเข้มเพื่อซ่อนตัวจากการมองเห็น เป็นต้น แหล่งข้อมูลอ้างอิง 'Perfect black' coating can render a 3D object flat, raises intriguing dark veil possibility in astronomy : http://www.eecs.umich.edu/eecs/about/articles/2011/guo-camouflage.html Nano Paint Could Make Airplanes Invisible to Radar : http://www.technologyreview.com/article/39238/?mod=chthumb Carbon Nanotube Stealth Paint Could Make Any Object Ultra-Black : http://www.popsci.com/technology/article/2011-12/paint-imbued-carbon-nanotubes-could-make-any-object-absorb-broad-spectrum-light ข้อมูลเพิ่มเติม How does stealth technology work? : http://science.howstuffworks.com/question69.htm How Radar Works? : http://science.howstuffworks.com/radar.htm Visual Pathway : http://www.cog.brown.edu/courses/cg0001/lectures/visualpaths.html แหล่งภาพ http://nivea.psycho.univ-paris5.fr/FeelingSupplements/LightAndTheEye.htm http://www.aviation2.net/radar.html | |||||||||
แก้ไขล่าสุดเมื่อ ( 17 February 2012 ) |
ท่อนาโนคาร์บอน..วัตถุสีดำดูดกลืนแสงยอดเยี่ยม จากหลักการดังกล่าว ทีมวิจัยจากมหาวิทยาลัยมิชิแกนจึงพัฒนาสารเคลือบวัตถุที่ต้องการอำพรางจากท่อนาโนคาร์บอนซึ่งมีสีดำสนิทและมีสมบัติดูดกลืนแสงได้อย่างดีเยี่ยม L. Jay Guo ศาสตราจารย์ภาควิชาวิศวกรรมไฟฟ้าและวิทยาศาสตร์คอมพิวเตอร์ มหาวิทยาลัยมิชิแกน กล่าวว่า “ด้วยความสามารถของท่อนาโนคาร์บอนที่ดูดกลืนแสงที่เข้ามาปะทะได้ถึง 99.99 เปอร์เซ็นต์นี่เองที่จะทำให้คุณเลือกใช้มันเพื่อซ่อนวัตถุสามมิติได้อย่างสมบูรณ์” ทดสอบแนวความคิด Guo และทีมพัฒนาสารเคลือบสำหรับยานหรือเครื่องบินทหารซึ่งทำจากท่อนาโนคาร์บอนที่มีความหนาเพียง 70 ไมครอนหรือประมาณครึ่งหนึ่งของความหนากระดาษ โดยทีมคาดหวังว่าสารเคลือบนี้จะดูดกลืนคลื่นเรดาร์และช่วยให้เครื่องบินที่เคลือบด้วยสารเคลือบนี้รอดพ้นจากการตรวจจับด้วยสัญญาณเรดาร์จากฝ่ายตรงข้ามได้ Guo กล่าวว่า กลุ่มของท่อนาโนคาร์บอนสามารถดูดกลืนแสงในช่วงคลื่นที่กว้างมากตั้งแต่คลื่นวิทยุ แสงที่มองเห็นได้ (Visible light) จนกระทั่งแสงยูวี
ในการทดลอง พวกเขาทดสอบแนวความคิดดังกล่าวด้วยการนำแผ่นซิลิคอนสองแผ่นมากัดเซาะให้เป็นรูปรถถังขนาดจิ๋วและมีลักษณะนูน (ภาพ a) ต่อมานำชิ้นงานทั้งสองแผ่นมาเคลือบด้วยท่อนาโนคาร์บอน (ภาพ b) และเลือกแผ่นใดแผ่นหนึ่งมากัดเซาะให้เป็นกรอบสี่เหลี่ยมรอบรถถังหลังจากเคลือบท่อนาโนคาร์บอนไปแล้วเพื่อใช้เป็นชิ้นงานเปรียบเทียบ (ภาพ c) จากนั้นนำชิ้นงานทั้งสองไปส่องดูด้วยกล้องจุลทรรศน์ จากภาพจะสังเกตเห็นว่ารถถังบนชิ้นงานทั้งสองหายไป (ภาพ e และ f) เหลือให้เห็นเพียงส่วนที่ไม่มีท่อนาโนคาร์บอนเคลือบอยู่ซึ่งก็คือกรอบรอบรถถังบนชิ้นงานเปรียบเทียบนั่นเอง (ภาพ f) ผลการทดลองจึงสรุปได้ว่า สารเคลือบท่อนาโนคาร์บอนสามารถดูดกลืนแสงที่สะท้อนออกมาจากวัตถุได้ดีจนทำให้เรามองไม่เห็นวัตถุได้แม้แต่วัตถุที่มีรูปทรงเป็นสามมิติ สารเคลือบชนิดใหม่ดูดกลืนแสงทั้งหมดได้อย่างไร Guo ให้เหตุผลว่า การที่ท่อนาโนคาร์บอนสามารถดูดกลืนแสงทั้งหมดได้นั้น พวกเขาจำเป็นต้องใช้ท่อนาโนคาร์บอนในปริมาณที่สูงรวมทั้งต้องสังเคราะห์ ปลูก จัดเรียงและเว้นระยะห่างให้ถูกต้อง (คล้ายกับการปลูกป่าด้วยท่อนาโนคาร์บอน) เพื่อที่จะทำให้ค่าดัชนีหักเหแสง (Refractive index, RI) ของสารเคลือบดังกล่าวมีค่าใกล้เคียงกับค่าดัชนีหักเหแสงของอากาศ นั่นหมายความว่า แสงที่เดินทางผ่านอากาศเข้ามาปะทะกับมันจะถูกดูดกลืนไปทั้งหมด ไม่เหลือแสงที่จะสะท้อนมาตกกระทบกับตัวรับภาพในดวงตาของเรา เราจึงมองเห็นวัตถุเป็นเพียงพื้นเรียบๆสีดำ ซึ่งเมื่อเราวางวัตถุทาบกับพื้นหลังสีดำวัตถุดังกล่าวก็จะล่องหนไปในที่สุดนั่นเอง ดังนั้นหากเรานำสารเคลือบนี้มาพ่น เคลือบ หรือทำสีให้กับเครื่องบิน ฝ่ายตรงข้ามก็จะมองไม่เห็นเครื่องบินดังกล่าวในเวลากลางคืน ทั้งยังไม่สามารถตรวจจับด้วยสัญญาณเรดาร์ได้อีกด้วย บทสรุป สารเคลือบที่ทำจากท่อนาโนคาร์บอนนี้เป็นได้มากกว่าผ้าคลุมสีดำที่ใช้ซ่อนวัตถุหรือซ่อนเครื่องบินจากท้องฟ้าเวลากลางคืน เพราะมันยังมีสมบัติในการดูดกลืนคลื่นเรดาร์ไม่ให้เครื่องบินถูกตรวจจับได้ซึ่งเหมาะที่จะนำไปใช้กับเทคโนโลยีอากาศยานล่องหน (Stealth) อีกด้วย แต่อย่างไรก็ตาม ขั้นตอนการสังเคราะห์ท่อนาโนคาร์บอนบนพื้นผิวของเครื่องบินโดยตรงยังไม่สามารถทำได้จริงในขณะนี้ เพราะขั้นตอนนี้ต้องใช้อุณหภูมิและความดันที่สูง รวมทั้งต้องทำในห้องที่มีขนาดเล็กกว่าเครื่องบินมาก แต่ Guo เชื่อว่า ยังมีความเป็นไปได้ที่เราจะสังเคราะห์ท่อนาโนคาร์บอนบนพื้นผิวของอนุภาคขนาดจิ๋วซึ่งสามารถนำไปใช้เป็นสารแขวนลอยที่ผสมอยู่ในสีที่ใช้เคลือบพื้นผิวของเครื่องบินแทนได้ งานวิจัยนี้ตีพิมพ์ในจดหมายฟิสิกส์ประยุกต์ (Applied Physics Letter) ข้อมูลน่ารู้ ระบบเรดาร์ทำงานอย่างไร
ระบบเรดาร์ทำงานโดยอาศัยคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าที่ส่งออกไป ถ้าคลื่นดังกล่าวปะทะกับวัตถุหรือของแข็งคล้ายเครื่องบินที่เดินทางใกล้เข้ามา คลื่นก็จะสะท้อนจากเป้าหมายกลับมายังเครื่องรับสัญญาณเพื่อสร้างรหัสประจำตัวของวัตถุที่พบและประมวลผลจากคลื่นที่สะท้อนกลับมาโดยแสดงข้อมูลทั้งขนาด ระยะทาง และความเร็วของวัตถุไปยังหน้าจอภาพ เมื่อฝ่ายที่ปล่อยสัญญาณเรดาร์ได้รับข้อมูลของวัตถุเป้าหมายแล้ว พวกเขาก็จะทำลายเครื่องบินเป้าหมายกลางอากาศด้วยการขีปนาวุธ (anti-aircraft missile) ในทันที อย่างไรก็ตาม ในปัจจุบันมีการนำเทคโนโลยีอากาศยานล่องหน (Stealth) มาช่วยออกแบบเครื่องบินจู่โจมหรือเครื่องบินขับไล่ทางทหารเพื่อให้สามารถหลบหลีกระบบเรดาร์ได้ ยกตัวอย่างเช่น ออกแบบลำตัวของเครื่องบินไม่ให้มีlแนวตั้งฉาก (Perpendicular section) ที่จะทำให้คลื่นเรดาร์สามารถสะท้อนกลับไปยังตัวรับสัญญาณ หรือ ออกแบบให้เครื่องบินมีสีเข้มโดยทาหรือเคลือบสีผิวของเครื่องบินให้เป็นสีดำหรือสีน้ำเงินเข้มเพื่อซ่อนตัวจากการมองเห็น เป็นต้น แหล่งข้อมูลอ้างอิง 'Perfect black' coating can render a 3D object flat, raises intriguing dark veil possibility in astronomy : http://www.eecs.umich.edu/eecs/about/articles/2011/guo-camouflage.html Nano Paint Could Make Airplanes Invisible to Radar : http://www.technologyreview.com/article/39238/?mod=chthumb Carbon Nanotube Stealth Paint Could Make Any Object Ultra-Black : http://www.popsci.com/technology/article/2011-12/paint-imbued-carbon-nanotubes-could-make-any-object-absorb-broad-spectrum-light ข้อมูลเพิ่มเติม How does stealth technology work? : http://science.howstuffworks.com/question69.htm How Radar Works? : http://science.howstuffworks.com/radar.htm Visual Pathway : http://www.cog.brown.edu/courses/cg0001/lectures/visualpaths.html แหล่งภาพ http://nivea.psycho.univ-paris5.fr/FeelingSupplements/LightAndTheEye.htm http://www.aviation2.net/radar.html | |||||||||
แก้ไขล่าสุดเมื่อ ( 17 February 2012 ) |
เอฟ-117 ไนท์ฮอว์ก
เอฟ-117 ไนท์ฮอว์ก (อังกฤษ: F-117 Nighthawk) เป็นอากาศยานโจมตีภาคพื้นดินล่องหนที่อดีตเคยถูกใช้งานโดยกองทัพอากาศสหรัฐ มันได้ทำการบินครั้งแรกในปีพ.ศ. 2524 และเข้าปฏิบัติการในเดือนตุลาคม พ.ศ. 2526[1] โลกได้รู้จักกับเอฟ-117เอในเดือนพฤศจิกายน พ.ศ. 2531
ผลงานของชรังค์ เวิร์คส์และการพัฒนาแฮฟบลูทำให้มันกลายเป็นอากาศยานลำแรกที่ใช้เทคโนโลยีการล่องหน เอฟ-117เอมีชื่อเสียงมากในสงครามอ่าวเมื่อปีพ.ศ. 2534
กองทัพอากาศได้ปลดประจำการเอฟ-117 ในวันที่ 22 เมษายน พ.ศ. 2551โดยสาเหตุหลักคือการปรากฏตัวของเอฟ-22 แร็พเตอร์และบี-2 สปิริทที่มีประสิทธิภาพมากกว่า
ผลงานของชรังค์ เวิร์คส์และการพัฒนาแฮฟบลูทำให้มันกลายเป็นอากาศยานลำแรกที่ใช้เทคโนโลยีการล่องหน เอฟ-117เอมีชื่อเสียงมากในสงครามอ่าวเมื่อปีพ.ศ. 2534
กองทัพอากาศได้ปลดประจำการเอฟ-117 ในวันที่ 22 เมษายน พ.ศ. 2551โดยสาเหตุหลักคือการปรากฏตัวของเอฟ-22 แร็พเตอร์และบี-2 สปิริทที่มีประสิทธิภาพมากกว่า
วันพุธที่ 18 เมษายน พ.ศ. 2555
๏เคเบิ้ลคาร์๏
ยิ่งเวลาผ่านไปนานเท่าใด ดูเหมือนว่าการจราจรบนถนนจะเป็นเรื่องที่สร้างปัญหาให้กับสิ่งแวดล้อมมากขึ้นเรื่อยๆ ทั้งก๊าซพิษจากการเผาไหมเชื้อเพลิง การผลิตจนถึงการทำลายรถยนต์ที่ไม่ใช้แล้วแม้จะมีเทคโนโลยีด้านรถยนต์ที่ใช้พลังงานสะอาดเป็นเชื้อเพลิงอยู่แล้ว แต่ การนำเทคโนโลยีเหล่านั้นออกมาสู่การใช้งานจริง ยังต้องอาศัยเวลาในการพัฒนาและแก้ไขเรื่องต่างๆ อีกพอสมควร แต่ที่สำคัญยิ่งกว่าก็คือ ค่านิยมของผู้บริโภคที่ยึดติดกับสิ่งเก่าๆ ดังนั้น การปรับปรุงระบบขนส่งมวลชนให้มีประสิทธิภาพและเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม ดูจะเป็นหนทางที่รวด เร็วและมั่นคงกว่าและในปัจจุบันเมืองแห่งหนึ่งในประเทศโคลัมเบียได้ประสบความสำเร็จ ในการปรับปรุงระบบขนส่งมวลชนของตนให้เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมทั้งยังมีประสิทธิภาพมากขึ้นอีกด้วย โดยเมืองดังกล่าวคือ เมืองเมดเดลิน ซึ่งได้ปรับปรุงระบบขนส่งมวลชนในเมืองของตน ตามแนวทางการพัฒนาอย่างยั่งยืน จนได้รับรางวัล “Sustainable Transport” จาก สถาบันนโยบายการพัฒนาการขนส่ง หรือ Institute for Transportation and Development Policy (ITDP) ในเมืองเมดเดลิน รัฐโคลัมเบีย นั้นจะมีระบบขนส่งเป็นรถกระเช้าไฟฟ้า ซึ่งเปิดให้บริการในปี 2006 ซึ่งช่วยเชื่อม ต่อระหว่างย่านธุรกิจใจกลางเมืองกับ พื้นที่อยู่อาศัย ระบบดังกล่าวนอกจากไม่ก่อมลพิษเพราะขับเคลื่อนด้วยไฟฟ้าแล้ว ยังเป็นระบบขนส่งที่มีราคาถูก ประชาชนทุก ระดับในเมืองจึงสามารถเข้าถึงได้ อีกทั้งยังเชื่อมโยงกับระบบรถไฟใต้ดินและรถประจำทาง รวมถึงระบบขนส่งอื่นๆ ที่ จะสร้างตามมาในอนาคตอีกด้วย “เมืองเมดเดลินถือว่าเป็นผู้บุก เบิกในการนำรถกระเช้ามาเป็นระบบ ขนส่งมวลชนทางเลือกสำหรับพื้นที่ ที่ประชากรมีรายได้ต่ำและมีการวาง ผังเมืองที่ไม่ดีทั้งยังเป็นบริเวณที่เต็ม ไปด้วยเนินเขามากมาย แต่กระนั้นก็ยังสามารถขนส่งผู้คนได้มากกว่า 3,000 คนต่อวัน” นายโฮลเกอร์ ดาลมันน์ ผู้อำนวยการ EMBARQ กล่าวในพิธีมอบ รางวัล นอกจากนี้ โมเดลระบบขนส่งมวลชนของเมืองเมดเดลินยังถูกนำไปปรับใช้ ในหลายเมืองของทวีปอเมริกาใช้ ซึ่งมีปัจจัยด้านประชากรและภูมิศาสตร์คล้ายคลึงกัน เช่น เมืองริโอเดอร์จาเนโร ประเทศบราซิล และกรุงคาราคัส ประเทศ เวเนซุเอลา นายโฮลเกอร์ กล่าวอีกว่า ระบบขนส่ง นี้นับว่าเป็นความก้าว หน้าอย่าง แท้จริง เนื่องจากมันสามารถเปลี่ยน ความรุนแรงและความสิ้นหวังของเมืองให้กลายเป็น ความหวังและโอกาส ด้วยการมอบหนทางที่ผู้คนในพื้นที่ห่างไกลสามารถเข้ามาทำงานในเขตเมืองได้อย่าง รวดเร็ว--จบ--
--สยามธุรกิจฉบับวันที่ 29 ก.พ. - 2 มี.ค. 2555--
วันอังคารที่ 10 เมษายน พ.ศ. 2555
ลอบทำร้าย
สาเหตุของการลอบทำร้าย อาจเกิดจากสาเหตุใดสาเหตุหนึ่ง หรือหลาย ๆ สาเหตุดังต่อไปนี้ ๑. ความขัดแย้งทางการเมือง ๒. ความขัดแย้งกันเป็นการส่วนตัว ๓. ความขัดแย้งในเรื่องผลประโยชน์ทางเศรษฐกิจ ๔. การกระทำของกลุ่มมือบอน หรือพวกจิตผิดปกติ หรือโรคจิต ๕. การข่มขวัญคู่แข่ง หรือศัตรู ความคิดที่ว่า สาเหตุจากการที่โรงเรียนถูกเผากว่า ๓๐ แห่ง จะมีผลกระทบต่อองค์ประกอบพื้นฐาน ในการพัฒนาประเทศ และความไม่มั่นคงของสังคม ได้แก่ ๑. เมื่อคนในชาติเผาโรงเรียนได้ ย่อมเผาชาติได้ ๒. เมื่อโรงเรียนถูกเผา แล้วจะเอาอะไรไปพัฒนาศักยภาพของพลเมืองและประเทศชาติจะเจริญได้อย่างไร ๓. เมื่อคนไม่ต้องการพัฒนาคน ไม่ต้องการพัฒนาญาติพี่น้องแล้ว ต่อไปคนในชาติก็ไร้คุณภาพ มนุษย์ก็จะกลายเป็นอมนุษย์ไป ๔. เมื่อคนในชาติไม่สามารถป้องกันแก้ไขปัญหานี้ได้ ก็คงไม่พ้นความสิ้นชาติหรือเสียบางส่วนของชาติไป ผลของปัญหา ๑. ผลเสียทางสังคม ๒. ในด้านเศรษฐกิจ ๓. ทางด้านการเมือง การป้องกันแก้ไข การที่จะป้องกันไม่ให้เกิดปัญหาการใช้อำนาจพลการนั้น มีหลายวิธีที่อาจช่วยได้เป็นต้นว่า ๑. การอบรมปลูกฝังประชาชนในชาติให้มีจริยธรรมอันดีงาม มีศีลธรรมประจำใจ ๒. ควรสร้างค่านิยมหรือพฤติกรรมหลักให้ยึดถือ ๓. การขจัดตัวกลางที่จะเสริมให้เกิดการใช้ความรุนแรง ๔. การปรับปรุงโครงสร้างของสังคม ปรับปรุงสถาบันสังคมทั้งหลายให้สามารถทำหน้าที่ได้อย่างดีที่สุด ๕. โดยการสร้างความสัมพันธ์ที่ดีต่อกัน |
ปัญหาลอบทำร้าย ๑. ผู้ไม่ประทุษร้ายมิตร , ออกจากเรือนของตนไปในที่ไหน ๆ ย่อมมีอาหารมากมาย คนเป็นอันมากย่อมอาศัยผู้ไม่ประทุษร้ายมิตรเป็นอยู่ ๒. ผู้ไม่ประทุษร้ายมิตร , ไปในชนบท นิคม หรือราชธานี ย่อมได้รับการต้อนรับทุกแห่ง ๓. ผู้ไม่ประทุษร้ายมิตร , โจรก็ไม่ข่มเหง พระราชาก็ไม่ดูหมิ่น ย่อมข้ามพ้นศัตรูได้ ๔. ผู้ไม่ประทุษร้ายมิตร , ไม่เคยโกรธเคืองใครไปในที่ใดย่อมได้รับการต้อนรับเป็นอย่างดี ทั้งในหมู่ญาติและมิตร ๕. ผู้ไม่ประทุษร้ายมิตร , สักการะคนอื่นแล้ว ย่อมได้รับสักการะตอบ เคารพคนอื่นแล้ว ย่อมได้ความเคารพตอบ และได้รับการสรรเสริญเกียรติคุณ ๖. ผู้ไม่ประทุษร้ายมิตร , บูชาผู้อื่นย่อมได้รับการบูชาตอบ ไหว้ผู้อื่นย่อมได้รับการไหว้ตอบ ย่อมถึงซึ่งอิศริยยศเกียรติคุณ ๗. ผู้ไม่ประทุษร้ายมิตร , ย่อมรุ่งโรจน์เหมือนไฟ ย่อมไพโรจน์เหมือนเทวดาและมีสิริในทุกสถาน ๘. ผู้ไม่ประทุษร้ายมิตร , โภคทรัพย์ย่อมเกิดมากมาย พืชพันธ์ธัญญาหาร ย่อมงอกงาม ย่อมได้รับผลผลิตที่หว่านลงไปในนานั้น ๙. ผู้ไม่ประทุษร้ายมิตร , แม้พลาดตกจากภูเขาหรือพลาดตกลงมาจากต้นไม้ย่อมได้ที่พึ่ง คือไม่เป็นอันตรายแต่ประการใด ๑๐. ผู้ไม่ประทุษร้ายมิตร , ศัตรูทั้งหลายย่อมไม่ข่มขี่เบียดเบียนบีฑาเหมือนต้นไทรใหญ่ |
ขอบคุณข้อมูลจาก มหาวิทยาลัยมหามกุฏราชวิทยาลัย วัดบวรนิเวศวิหาร แขวงบวรนิเวศ ถนนพระสุเมรุ เขตพระนคร กรุงเทพฯ 10200 โทรศัพท์ 0-2282-8303, 0-2281-6427 โทรสาร 0-2281-0294 |
ข้อมูลเพิ่ม>>>>>> http://www.dhamma.mbu.ac.th/th/index.php?option=com_content&task=view&id=42&Itemid=57
มาดู 20 อันดับสิ่งก่อสร้างที่แพงที่สุดในโลกhttp://www.aurum.co.th
@ อันดับ 20 ตึก Taipei 101 @

Taipei 101 ประเทศ Taiwan ราคา 1,800 ล้านเหรียญ เสร็จใน 2004 ปัจจุบันถูกทำลายสถิติตึกที่สูงที่สุดในโลกไปแล้ว (เสียใจด้วยนะคะ)
@ อันดับ 19 เครื่องบิน B-2 Spirit Stealth Bomber @

B-2 Spirit Stealth Bomber ประเทศ United States ราคา 2,200 ล้านเหรียญ เสร็จใน 1988 เครื่องบินทิ้งระเบิดที่ดีที่สุดในโลกใช้เทคโนโลยีสเตล และพิสัยการบินถึง 11000 กม โดยสหรัฐมีทั้งหมด 21 ลำ เป็นต้นแบบเครื่องบินสเตลรุ่นต่อๆ มา
@ อันดับ 18 เรือดำน้ำ USS Jimmy Carter @

USS Jimmy Carter ประเทศ United States ราคา 3,200 ล้านเหรียญ เสร็จใน 2004 เรือดำน้ำพลังงานนิวเคลียร์ประจำภาคพื้นแปรซิฟิกเรานี้เอง
@ อันดับ 17 ระบบขนส่ง Rivercity Motorway @

Rivercity Motorway ประเทศ Australia ราคา 3,200 ล้านเหรียญ เสร็จใน 2010 ระบบ ขนส่งของเมือง Brisbane ประเทศ Australia นี้ ประกอบด้วยการขุดอุโมงค์จำนวน 5 อุโมงค์เพื่อเชื่อมระหว่าง Woolloongabba กับ Bowen Hills เพื่อเป็นการลดการติดขัดอันเนื่องมาจากสี่แยกไฟแดงจำนวน 18 แยกภายในเมือง Brisbane งานชิ้นนี้เกิดจากแนวความคิดของผู้ว่าการ เมือง Cambell Newman ในปี 2006 ก่อนจะถูกประมูลโดยบริษัท Brisconnections ซึ่งคาดว่าจะใช้เวลาก่อสร้างอย่างต่ำ 45 ปี โดยในปัจจุบันนี้งานเสร็จสิ้นไปแล้วจำนวน 2 อุโมงค์
@ อันดับ 16 โครงการผนังกั้นน้ำ Oosterscheldekering @

Oosterscheldekering ประเทศ Netherlands ราคา 3,750 ล้านเหรียญ เสร็จใน 1986 โครงการผนังกั้นน้ำ ของประเทศฮอลแลนด์เพื่อป้องกันปัญหา Storm Surge ( คลื่นสูงใกล้ชายฝั่ง ) แห่งนี้มีความยาวถึง 9 กิโลเมตร เพื่อป้องกันการที่น้ำจะเอ่อล้นเข้าประเทศฮอล์แลนด์เนื่องจากประเทศฮอลแลนด์ นั้นมีความสูงต่ำกว่าระดับน้ำทะเล
การก่อนสร้างนั้นเริ่มขึ้นในปี 1976 ก่อนแล้วเสร็จในปี 1986 โดยมีการสร้างประตูระบายน้ำเพื่อจะระบายน้ำจากข้างในออกเมื่อระดับน้ำสูง และป้องกันไม่ให้น้ำจากภายนอกเข้ามาข้างในตัวประเทศได้เมื่อเกิดภัยพิบัติ
@ อันดับ 15 โครงการบำบัดน้ำเสีย Deer Island Waste Water Treatment Plant @

Deer Island Waste Water Treatment Plant ประเทศ United States ราคา 3,800 ล้านเหรียญ เสร็จใน 2000 โครงการบำบัดน้ำเสียแห่งนี้ตั้งอยู่บนเกาะ Deer ในอ่าว Boston โดยถือว่าเป็นโครงการบำบัดน้ำเสียที่มีขนาดใหญ่เป็นอันดับสองรองจาก Massachusetts Water Resources Authority โดยมีหน้าที่ในการป้องกันปัญหาน้ำเสียภายในอ่าว Bostonโครงการบำบัด น้ำเสียแห่งนี้เริ่มสร้างขึ้นตั้งแต่ในช่วงทศวรรษ 1860 ก่อนมาเป็นรูปเป็นร่างอีกครั้งในปี 1960 และ 1990 โดยอยู่ภายใต้การดูแลของบริษัท Clean Water
@ อันดับ 14 เรือบรรทุกเครื่องบิน Queen Elizabeth class aircraft carrier @

Queen Elizabeth class aircraft carrier ประเทศ United Kingdom ราคา 3,900 ล้านเหรียญ เสร็จใน 2014 เรือบรรทุกเครื่องบินของประเทศอังกฤษแต่ก็สู้ของอเมริกาไม่ได้ 555
@ อันดับ 13 ตึก Burj Dubai @

Burj Dubai ประเทศ United Arab Emirates ราคา 4,100 ล้านเหรียญ เสร็จใน 2009 สิ่งก่อสร้างที่จะกลายมาเป็นตึกที่สูงที่สุดในโลก และเป็นสิ่งก่อสร้างที่สูงที่สุดที่มนุษย์เคยสร้างมาด้วย ความสูงประมาณ 818 เมตร จุคนได้ถึง 35,000 คน โดย 8 ชั้นแรกจะเป็นโรงแรม complex และสถานบันเทิงต่างๆ ส่วนชั้นที่ 9 ถึงชั้นที่ 37 จะเป็นห้องพักหรูหราสำหรับบรรดาเศรษฐีทั้งหลาย โดยได้รับการออกแบบตกแต่งโดย Armani แบรนด์ชื่อดังจากอิตาลี ชั้นที่ 38-41 ก็จะเป็นอีกส่วนที่จัดเป็นห้องพักของโรงแรม สำหรับชั้นที่ 42-108 ถูกจัดให้เป็น Apartments ส่วนชั้นที่สูงจากนี้ขึ้นไป จะเป็นส่วนปฏิบัติงานของเจ้าหน้าที่ของอาคารแห่งนี้
Burj Dubai ยังได้เก็บชั้นสูงที่สุด (ซึ่งตอนนี้ยังไม่มีใครทราบว่าเป็นชั้นทีเท่าไหร่) ไว้สำหรับผู้ที่ต้องการจับจองอีกด้วย
@ อันดับ 12ห้องสมุด สถานีทดลอง National Ignition Facility @

National Ignition Facility ประเทศ United States ราคา 4,200 ล้านเหรียญ เสร็จใน 2009มันคือ ห้องสมุดสำนักงานพลังงานปรมาณูเพื่อสันติ ผมไม่เข้าใจว่าทำไมมันแพงจัง ดูรูปแล้วสงสัยเอาเครื่องปรมาณูมาตั้งเอาไว้ แก้ไขนะ มันไม่ใช่ห้องสมุดแต่เป็นสถานที่และอุปกรณ์สำหรับการทดลองการเผาไหม้ โดยการใช้เลเซอร์ร่วมในการเผาไหม้ไฮโดรเจนในการบวนการนิวเคลียร์ฟิวชั่น
@ อันดับ 11 สถานีอวกาศ Mir @

Mir ประเทศ Russia ราคา 4,300 ล้านเหรียญ เสร็จใน 1996 อดีตสถานีอวกาศที่ดีที่สุดของโลก แต่ปัจจุบันปลดประจำการแล้วจะถูกทำลายโดยให้ตกลงสู่พื้นโลก เป็นความภาคภูมิใจของรัสเซียเพราะเป็นสถานีอวกาศของประเทศรัสเซียประเทศ เดียว ซึ่งสร้างความกดดันให้สหรัฐอเมริกาเป็นอย่างมากในสมัยนั้น
โอ๊ยยยย.. เริ่มเยอะล่ะ พักยกกันก่อนดีกว่า.. เอาอันดับที่ 11 -20 ไปก่อนล่ะกันนะ
แล้วค่อยมาติดตามต่ออันดับที่ 1- 10 ต่อนะจ๊ะ ^___^ แล้วอันดับ 1 จะเป็นอะไรนะ
ที่เป็นสิ่งก่อสร้างที่แพงที่สุดในโลก กับ.. 20 อันดับสิ่งก่อสร้างที่แพงที่สุดในโลก ภาค 2

Taipei 101 ประเทศ Taiwan ราคา 1,800 ล้านเหรียญ เสร็จใน 2004 ปัจจุบันถูกทำลายสถิติตึกที่สูงที่สุดในโลกไปแล้ว (เสียใจด้วยนะคะ)
@ อันดับ 19 เครื่องบิน B-2 Spirit Stealth Bomber @

B-2 Spirit Stealth Bomber ประเทศ United States ราคา 2,200 ล้านเหรียญ เสร็จใน 1988 เครื่องบินทิ้งระเบิดที่ดีที่สุดในโลกใช้เทคโนโลยีสเตล และพิสัยการบินถึง 11000 กม โดยสหรัฐมีทั้งหมด 21 ลำ เป็นต้นแบบเครื่องบินสเตลรุ่นต่อๆ มา
@ อันดับ 18 เรือดำน้ำ USS Jimmy Carter @

USS Jimmy Carter ประเทศ United States ราคา 3,200 ล้านเหรียญ เสร็จใน 2004 เรือดำน้ำพลังงานนิวเคลียร์ประจำภาคพื้นแปรซิฟิกเรานี้เอง
@ อันดับ 17 ระบบขนส่ง Rivercity Motorway @

Rivercity Motorway ประเทศ Australia ราคา 3,200 ล้านเหรียญ เสร็จใน 2010 ระบบ ขนส่งของเมือง Brisbane ประเทศ Australia นี้ ประกอบด้วยการขุดอุโมงค์จำนวน 5 อุโมงค์เพื่อเชื่อมระหว่าง Woolloongabba กับ Bowen Hills เพื่อเป็นการลดการติดขัดอันเนื่องมาจากสี่แยกไฟแดงจำนวน 18 แยกภายในเมือง Brisbane งานชิ้นนี้เกิดจากแนวความคิดของผู้ว่าการ เมือง Cambell Newman ในปี 2006 ก่อนจะถูกประมูลโดยบริษัท Brisconnections ซึ่งคาดว่าจะใช้เวลาก่อสร้างอย่างต่ำ 45 ปี โดยในปัจจุบันนี้งานเสร็จสิ้นไปแล้วจำนวน 2 อุโมงค์
@ อันดับ 16 โครงการผนังกั้นน้ำ Oosterscheldekering @

Oosterscheldekering ประเทศ Netherlands ราคา 3,750 ล้านเหรียญ เสร็จใน 1986 โครงการผนังกั้นน้ำ ของประเทศฮอลแลนด์เพื่อป้องกันปัญหา Storm Surge ( คลื่นสูงใกล้ชายฝั่ง ) แห่งนี้มีความยาวถึง 9 กิโลเมตร เพื่อป้องกันการที่น้ำจะเอ่อล้นเข้าประเทศฮอล์แลนด์เนื่องจากประเทศฮอลแลนด์ นั้นมีความสูงต่ำกว่าระดับน้ำทะเล
การก่อนสร้างนั้นเริ่มขึ้นในปี 1976 ก่อนแล้วเสร็จในปี 1986 โดยมีการสร้างประตูระบายน้ำเพื่อจะระบายน้ำจากข้างในออกเมื่อระดับน้ำสูง และป้องกันไม่ให้น้ำจากภายนอกเข้ามาข้างในตัวประเทศได้เมื่อเกิดภัยพิบัติ
@ อันดับ 15 โครงการบำบัดน้ำเสีย Deer Island Waste Water Treatment Plant @

Deer Island Waste Water Treatment Plant ประเทศ United States ราคา 3,800 ล้านเหรียญ เสร็จใน 2000 โครงการบำบัดน้ำเสียแห่งนี้ตั้งอยู่บนเกาะ Deer ในอ่าว Boston โดยถือว่าเป็นโครงการบำบัดน้ำเสียที่มีขนาดใหญ่เป็นอันดับสองรองจาก Massachusetts Water Resources Authority โดยมีหน้าที่ในการป้องกันปัญหาน้ำเสียภายในอ่าว Bostonโครงการบำบัด น้ำเสียแห่งนี้เริ่มสร้างขึ้นตั้งแต่ในช่วงทศวรรษ 1860 ก่อนมาเป็นรูปเป็นร่างอีกครั้งในปี 1960 และ 1990 โดยอยู่ภายใต้การดูแลของบริษัท Clean Water
@ อันดับ 14 เรือบรรทุกเครื่องบิน Queen Elizabeth class aircraft carrier @

Queen Elizabeth class aircraft carrier ประเทศ United Kingdom ราคา 3,900 ล้านเหรียญ เสร็จใน 2014 เรือบรรทุกเครื่องบินของประเทศอังกฤษแต่ก็สู้ของอเมริกาไม่ได้ 555
@ อันดับ 13 ตึก Burj Dubai @

Burj Dubai ประเทศ United Arab Emirates ราคา 4,100 ล้านเหรียญ เสร็จใน 2009 สิ่งก่อสร้างที่จะกลายมาเป็นตึกที่สูงที่สุดในโลก และเป็นสิ่งก่อสร้างที่สูงที่สุดที่มนุษย์เคยสร้างมาด้วย ความสูงประมาณ 818 เมตร จุคนได้ถึง 35,000 คน โดย 8 ชั้นแรกจะเป็นโรงแรม complex และสถานบันเทิงต่างๆ ส่วนชั้นที่ 9 ถึงชั้นที่ 37 จะเป็นห้องพักหรูหราสำหรับบรรดาเศรษฐีทั้งหลาย โดยได้รับการออกแบบตกแต่งโดย Armani แบรนด์ชื่อดังจากอิตาลี ชั้นที่ 38-41 ก็จะเป็นอีกส่วนที่จัดเป็นห้องพักของโรงแรม สำหรับชั้นที่ 42-108 ถูกจัดให้เป็น Apartments ส่วนชั้นที่สูงจากนี้ขึ้นไป จะเป็นส่วนปฏิบัติงานของเจ้าหน้าที่ของอาคารแห่งนี้
Burj Dubai ยังได้เก็บชั้นสูงที่สุด (ซึ่งตอนนี้ยังไม่มีใครทราบว่าเป็นชั้นทีเท่าไหร่) ไว้สำหรับผู้ที่ต้องการจับจองอีกด้วย
@ อันดับ 12

National Ignition Facility ประเทศ United States ราคา 4,200 ล้านเหรียญ เสร็จใน 2009
@ อันดับ 11 สถานีอวกาศ Mir @

Mir ประเทศ Russia ราคา 4,300 ล้านเหรียญ เสร็จใน 1996 อดีตสถานีอวกาศที่ดีที่สุดของโลก แต่ปัจจุบันปลดประจำการแล้วจะถูกทำลายโดยให้ตกลงสู่พื้นโลก เป็นความภาคภูมิใจของรัสเซียเพราะเป็นสถานีอวกาศของประเทศรัสเซียประเทศ เดียว ซึ่งสร้างความกดดันให้สหรัฐอเมริกาเป็นอย่างมากในสมัยนั้น
โอ๊ยยยย.. เริ่มเยอะล่ะ พักยกกันก่อนดีกว่า.. เอาอันดับที่ 11 -20 ไปก่อนล่ะกันนะ
แล้วค่อยมาติดตามต่ออันดับที่ 1- 10 ต่อนะจ๊ะ ^___^ แล้วอันดับ 1 จะเป็นอะไรนะ
ที่เป็นสิ่งก่อสร้างที่แพงที่สุดในโลก กับ.. 20 อันดับสิ่งก่อสร้างที่แพงที่สุดในโลก ภาค 2
วันอาทิตย์ที่ 8 เมษายน พ.ศ. 2555
วันพฤหัสบดีที่ 5 เมษายน พ.ศ. 2555
สมัครสมาชิก:
บทความ (Atom)